ต่อมาในปี ค.ศ. 1888 เรินต์เกนรับเช็ยไปเป็นศาสตราจารย์และผู้อำนวยการให้กับสถาบันกายภาพ ณ มหาวิทยาลัยเวิรซ์บวร์ก ซึ่งเขาพอใจมากเนื่องจากอยู่ในแคว้นบาวาเรีย ที่มีภูมิประเทศสวยงาม และยังมีภูเขาใหญ่น้อยมากมายที่เขากับภรรยาชอบไปเดินเล่น ทั้ง ๆ ที่ในขณะนั้นมหาวิทยาลัยต่าง ๆ อาทิ มหาวิทยาลัยแห่งเมืองจีนา อูเทรคต์ เบอร์ลิน และฟรายบวร์ก ต่างพากันเชื้อเชิญให้เขาไปทำงานด้วยก็ตาม ณ มหาวิทยาลับเวิร์ซ์บวร์กนี่เอง ที่ศาสตราจารย์เรินต์เกนได้ทำงานวิจัยต่อเนื่องจากงานเดิมในเรื่องคุณสมบัติของของเหลวผลึกสาร และสารไดอิเล็คทริก
จนกระทั่งฤดูใบไม้ร่วงในปี ค.ศ. 1895 เรินต์เกนพยายามศึกษาคุณสมบัติของแสงในหลอดคาโทด (Cathode Tube) โดยใช้หลอดคาโทด ชนิดลีนาร์ดทิวบ์ (Lenard Tube) ซึ่งใช้อลูมิเนียมเป็นหน้าต่าง และฮิตทอร์ฟครูกส์ทิวบ์ (Hittorf Crookes Tube) ซึ่งหน้าต่างทำด้วยวัสดุหนา
ในวันที่ 8 พฤศจิกายน ขณะทำการทดลองกับหลอดคาโทดดังกล่าวในห้องมืดโดยเขานำเอาแผ่นกระดาษการ์ดดำปิดกั้นหลอดคาโทดไว้ เรินต์เกนสังเกตเห็นกระดาษการ์ดแผ่นหนึ่งที่เคลือบสารประกอบของสารเรืองแสงบาเรียมพลาติโนไซยาไนต์ (Barium Platinocyanide) ส่องแสงเรื่อเรืองออกมา จากประสบการณ์ของนักวิจัยทำให้เขาสนใจและตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นทันที จนได้ข้อสรุปว่า ขณะเปิดกระแสไฟให้หลอดคาโทดนั้น มีรังสีที่มองไม่เห็น (Black Light) เกิดขึ้นด้วย เขาได้ตั้งชื่อรังสีนั้นว่า รังสีที่ไม่รู้จัก หรือรังสีเอกซ์ (X = Unknown)
เรินต์เกนเขียนผลงานการวิจัยดังกล่าวเป็นบทความวิชาการ ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 1895 โดยอธิบายคุณสมบัติทั้ง 17 ประการ ของรังสีเอกซ์ที่เกิดขึ้นอย่างถี่ถ้วน รวมกับที่ค้นพบเพิ่มเติมอีกสี่ประการ ในวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 1896 เพียงไม่กี่วันหลังจากบทความนี้ถูกนำมาตีพิมพ์ ก็กลายเป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างกว้างขวาง
08 กุมภาพันธ์ 2551
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น