10 กุมภาพันธ์ 2551

ผู้ให้กำเนิดโซนี่

มาซารุ อิบูกะ (ซ้าย) กับ อากิโอะ โมริตะ (ขวา) ผู้ให้กำเนิดโซนี่

ในปี 1946 มาซารุ อิบูกะ กับ อากิโอะ โมริตะ ร่วมกับลูกจ้างที่มุ่งมั่นทุ่มเทกลุ่มเล็ก ๆ ได้ช่วยกันก่อตั้ง “โตเกียว ซูชิน เค็นเคียวโจ” (ต็อทซูโกะ) หรือ “โตเกียว เทเลคอมมิวนิเคชั่น รีเสิร์ช อินสติติวท์” จนในที่สุดได้กลายเป็นเครือข่ายบริษัทข้ามชาติที่มีมูลค่าเป็นพันล้านดอลลาร์ วัตถุประสงค์หลักของบริษัทได้แก่ การออกแบบ และสร้างผลิตภัณฑ์โฉมใหม่ ที่เป็นประโยชน์ต่อชาวโลก

บริษัทเริ่มต้นด้วยการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อย่างหม้อหุงข้าว จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จในการสร้างเครื่องบันทึกเทปแม่เหล็กเป็นเจ้าแรกของญี่ปุ่น แต่บริษัทก็ยังคงคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงออกมาอยู่เสมอ ทำให้ได้รับการยอมรับนับถือ และมีชื่อเสียงขจรไกลไปในระดับนานาชาติ ในฐานะเป็นบริษัทข้ามชาติที่มีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ คุณภาพดีและมีนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์สำคัญ ๆ อันเป็นผลงานของบริษัทในยุคต่าง ๆ ได้แก่ วิทยุทรานซิสเตอร์เจ้าแรกของญี่ปุ่น (1955), โทรทัศน์สีแบบไตรนิตรอน (1968), เครื่องเสตอริโอส่วนบุคคลยี่ห้อวอล์คแมน (1979), กล้องถ่ายวีดิโอยี่ห้อแฮนดี้แคม (1989), เพลย์สเตชั่น (1994), เครื่องบันทึกยี่ห้อบลูเรย์ดิสก์ (2003), และเพลย์สเตชั่น 3 (2006)

ชื่อโซนี่ของบริษัทเกิดจากการนำเอาคำสองคำคือ “โซนัส” และ “ซันนี่” มาผสมกัน คำว่า “โซนัส” เป็นภาษาลาตินแปลว่าเสียง หรือเกี่ยวกับเสียง อีกคำหนึ่งคือ “ซันนี่” แปลว่าลูกน้อย เหตุที่นำสองคำนี้มาใช้รวมกัน ก็เพื่อให้คำว่า โซนี่ มีความหมายถึงคนหนุ่มสาวกลุ่มเล็ก ๆ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และความมุ่งมั่นที่จะสรรค์สร้างสิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นนวัตกรรม อย่างไร้ขีดจำกัด ในปี 1958 บริษัทได้นำชื่อ “โซนี่คอร์ปอเรชั่น” มาใช้เพื่อตอบสนองแนวความคิดเกี่ยวกับการขยายกิจการออกไปสู่โลกภายนอก ชื่อโซนี่ เป็นชื่อที่อ่านออกเสียงได้ง่ายในทุกชาติทุกภาษา ทั้งยังฟังดูมีชีวิตชีวา ช่วยให้เกิดความรู้สึกเป็นอิสระ เปิดหัวใจให้พร้อมที่จะรับเอาสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาสู่ชีวิต

ชาร์ลส์ กู๊ดเยียร์ (Charles Goodyear)


ชาร์ลส์ กู๊ดเยียร์ (Charles Goodyear)
ยางรถยนต์

ต้นกำเนิดของยางพาราอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ และมีศูนย์กลางการซื้อขายยางพาราอยู่ที่เมืองท่าชื่อ "พารา"
ในประเทศบราซิล จึงเป็นที่มาของชื่อยางพารา
ยางพาราเป็นพืชสารพัดประโยชน์ ในน้ำยางสีขาวบริสุทธิ์ซ่อนความมหัศจรรย์ไว้อย่างเหลือเชื่อ และยังไม่มีผู้ใดค้นพบความลี้ลับแห่งธรรมชาตินี้ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1831 ชาร์ลส์ กู๊ดเยียร์ (Charles Goodyear) ชาวอเมริกัน ก็สามารถไขปริศนาของยางพาราเพื่อให้มนุษย์ชาติได้ใช้ประโยชน์จากมัน
อาชีพเดิมของชาร์ลสคือการทำธุรกิจเครื่องมือโลหะ วันหนึ่งเขาเห็นยางเสี่อมสภาพจำนวนมากกองอยู่หน้าโรงงาน ก็รู้สึกเสียดาย จึงเกิดความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะยางเหล่านี้ให้ได้ เขาเฝ้าทดลองหาวิธีที่เหมาะในการแปรรูปน้ำยางให้เป็นยางคุณภาพดีอยู่ตลอดเวลา ชาร์ลสผิดผวังและล้มไม่เป็นท่าอยู่หลายครั้ง แต่ไม่เคยท้อ แม้จะต้องหมดตัว ล้มละลายและมีอันต้องระเห็จไปอยู่ในคุก เขาก็ยังเฝ้าไขปัญหาของยางพาราอย่างสบายอารมณ์ สุดท้ายฝันก็เป็นจริง ชาร์ลส์รู้แล้วว่าต้องใช้ผงแมกนีเซียมและปูนขาวมาผสมกับน้ำยาง ก่อนจะทางด้วยกรดไนตริก ดังน้แล้ว ยางจึงจะแห้งไม่ไหลเยิ้มและไม่แข็งกระด้างด้วย
กระนั้นก็ดี ยางที่ได้ยังมีคุณภาพไม่ดีที่สุด ชาร์ลส์จึงคิดค้นต่อไปและพบว่า การเอายางผสมกับกำมะถันแล้งผึ่งด้วยไอน้ำภายใต้ความดันที่พอเหมาะ นานประมาณ 2-4 ชั่วโมง จะทำให้ได้เนื้อยางที่มีคุณภาพดีที่สุด แม้ว่าชาร์ลสจะสามารถทำให้ยางมีคุณภาพดีจนสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์นานาชนิดได้ แต่ตัวเขาเองกลับมีความเป็นอยู่แร้นแค้น เพราะเงินทั้งหมดที่มีทุ่มลงไปให้แก่การทดลองทั้งสิ้น จนปี ค.ศ. 1860 ชาร์ลส กู๊ดเยียร์ ก็จากโลกนี้ไป และทิ้งหนี้สินไว้อีกมากมาย

09 กุมภาพันธ์ 2551

โรนัลด์ รอส (Ronald Ross)





ผู้ค้นพบพาหะนำไข้มาลาเรีย


20 สิงหาคม ค.ศ. 1897 ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์การแพทย์ เนื่องจากวันนั้น โรนัลด์ รอส (Ronald Ross) แพทย์ชาวอังกฤษซึ่งทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลทหารแห่งเซกันเดอราบาด ประเทศอินเดีย พบว่ายุงก้นปล่อง (Anopheles) คือพาหะมัจจุราชที่นำไข้มาลาเรียมาสู่คน หลังจากนั้นอีก 5 ปีรอสก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์และสรีรวิทยา

รอสเกิดที่เมืองอัลโมรา ประเทศเนปาล บิดาเป็นทหาร ในวัยเด็กรอสตั้งใจจะเป็นจิตรกร ขณะที่บิดาต้องการให้เรียนแพทย์ เขาจึงถูกส่งให้ไปศึกษาวิชาแพทยศาสตร์โรงพยาบาลเซนต์บาร์โทโลมิว (St. Bartholomew Hospital) ในลอนดอน ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ หลังจากสำเร็จการศึกษาจึงเดินทางไปทำงานเป็นแพทย์ที่ประเทศอินเดีย ซึ่งขณะนั้นโรคมาลาเรียกำลังระบาดรุนแรงและไม่มีทางรักษา

ดังนั้น ใน ค.ศ. 1888 รอสจึงลาพักร้อนไปประเทศอังกฤษเพื่อรับการอบรมด้านสาธารณสุขและพยาธิวิทยา จากนั้นจึงเดินทางกลับอินเดียและเริ่มค้นคว้าเรื่องโรคมาลาเรียในเลือดคน ซึ่งก่อนหน้านั้นในปี ค.ศ. 1880 นายแพทย์ชาร์ลส์ เลฟวแรน (Charles Leveran) พบว่าพลาสโมเดียม (Plasmodium) คือ เชื้อที่ก่อให้เกิดโรคมาลาเรีย

ต่อมารอสเดินทางไปประเทศอังกฤษอีกครั้งเมื่อปี ค.ศ. 1894 การมาอังกฤษครั้งนี้เขาได้พบลกับแพรทริค แมนชัน (Patrick Manson) ผู้ค้นพบพาหะของโรคเท้าช้าง (Elephantiasis) นักพยาธิวิทยาผู้ได้รับการขนานนามให้เป็น "บิดาแห่งยารักษาโรค" แมนสันบอกกับรอสว่า เขาสงสัยว่ายุงคือพาหะของไข้มาลาเรีย

ภายหลังเมื่อกลับสู่ประเทศอินเดียที่เมืองกัลกัตตา รอสจึงเริ่มทดลองด้วยการเอายุงไปกัดเพื่อนร่วมงาน ผลปรากฎว่า เพื่อนคนนั้นไม่ได้ป่วยเป็นไข้ดังกล่าวแต่อย่างใด ดังนั้น รอสจึงเปลี่ยนแผนวิจัย โดยศึกษาธรรมชาติของยุงก่อน ต่อมาอีกสองปี เขาค้นพบว่า เชื้อมาลาเรียจะพบเฉพาะในยุงชนิดอโนฟิเลส (Anopheles) หรือยุงก้นปล่องเท่านั้น

จากนั้นรอสพยายามแสดงให้เห็นว่า เชื้อมาลาเรียเนิ่มแฝงตัวอยู่ในต่อมน้ำลายของยุง เมื่อยุงกัดคนเชื้อมาลาเรียจากต่อมน้ำลายของยุงก็จะถูกฉีดเข้าสู่เลือด มีผลทำให้คนนั้นป่วยเป็นไข้มาลาเรียทันที

กล่าวได้ว่าการค้นพบนี้สำคัญมาก เพราะนอกจากจะทำให้โลกรู้ว่ายุงก้นปล่องมีพิษสงเพียงใดแล้ว ผลงานของรอสยังทำให้วงการแพทย์สามารถป้องกันคนนับล้านไม่ให้ป่วยเป็นโรคนี้ได้ด้วยการนอนกางมุ้ง

โรนัลด์ รอส จึงเปรียบเสมือนวีรบุรุษของมนุษยชาติ โดยเฉพาะผู้คนที่อินเดีย ดินแดนที่กำลุงถูกคุกคามด้วยโรคมาลาเรีย ชาวอินเดียต่างพากันขนานนามชายผู้นี้ว่า เซอร์ โรนัลด์ รอส (Sir Ronald Ross) ทั้งการค้นพบยังนำมาซึ่งชื่อเสียงและเกียรติยศมากมาย ที่สำคัญ คือการได้รับรางวัลโนเบล สาขาการแพทย์และสรีรวิทยา ปี ค.ศ. 1902 และเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสมาคมผู้มีความรู้ในประเทศแถบยุโรป และในอีกหลายทวีปด้วย

รอสแต่งงานกับโรซา เบสซี บล็อกซัม ในปี ค.ศ. 1889 ทั้งสองมีบุตรชายด้วยกันสองคน คือ โรนัลด์กับชาร์ลส์ และบุตรีอีกสองคน คือ โดโรธีกับซิลเวีย ภรรยาของเขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1931 ขณะที่วาระสุดท้ายในชีวิตของรอสมาถึงในอีกหนึ่งปีให้หลัง หลังจากล้มป่วยมาเป็นเวลานาน เขาเสียชีวิตที่สถาบันรอส (Ross Institute) นั่นเอง

ผู้คนในประเทศอินเดียยังคงระลึกถึงเซอร์ โรนัลด์ รอส ด้วยการให้เกียรติอย่างสูง เพราะการทุ่มเทอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย โดยมุ่งหวังจะให้ทุกคนรอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชที่ชื่อ มาลาเรีย ในที่สุด เราก็ควบคุมโรคร้ายนี้ได้ แม้จะไม่สมบูรณ์ แต่ก็ถือว่าดีกว่าเดิมมาก มีถนนหลายสายในหลาย ๆ เมืองของอินเดียที่ตั้งชื่อตามเขา ในกรุงกัลกัตตา ถนนสายเชื่อมต่อกับโรงพยาบาลเพรสซิเดนซี เยเนรัล (Presidency General Hospital) จากเดิมที่ชื่อคิดเดอร์พอร์ (Kidderpore) ก็ถูกเปลี่ยนเป็นเซอร์โรนัลด์ รอ ซารานี (Sir Ronald Ross Sarani).

08 กุมภาพันธ์ 2551

ลูเธอร์ เบอร์แบงก์ (Luther Burbank) ตอนที่ 3

ความสำเร็จของเบอร์แบงก์นับเป็นความสำเร็จเพื่อมวลมนุษยชาติ เมื่อเขาสามารถพัฒนาสายพันธุ์พืชได้มากกว่า 800 ชนิด ทั้งดอกไม้ ต้นไม้ใบหญ้า รวมถึงผักและผลไม้
บั้นปลายของชีวิต เบอร์แบงก์อุทิศเวลาที่เหลือทำหน้าที่เป็นผู้บรรยายทฤษฎีวิวัฒนาการในมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Standford University) และเขียนตำราไว้หลายเล่ม เช่น Luther Burbank : His Methods and Discoveries and Their Practical Application (เหตุผลและการค้นพบ) มีทั้งหมด 15 เล่ม ตีพิมพ์ระหว่าง ค.ศ. 1914-1915 เรื่อง How Plants Are Trained to Work for Man (ทำต้นไม้ให้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์) ตีพิมพ์ ค.ศ. 1921 อีกทั้งยังพิมพ์วารสารรายสัปดาห์ชื่อ New Creation เผยแพร่ในปี ค.ศ. 1893-1901 และพิมพ์หนังสือ The Training of Human Plant
กลางเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1926 เบอร์แบงก์ล้มป่วยด้วยโรคหัวใจ และโรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ เขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 11 เมษายน ค.ศ. 1926 รวมอายุได้ 77 ปี ศพของเขาถูกฝังไว้ใกล้เรือนกระจกที่ลูเธอร์ เบอร์แบงก์ โฮม แอนด์ การ์เดนส์ (Luther Burbank Home and Gardens) ซึ่งเป็นสถานที่ทดลองพันธุ์พืชของเขานั่นเอง.

ลูเธอร์ เบอร์แบงก์ (Luther Burbank)
นักปฎิรูปพันธุ์พืช
เจ้าของทฤษฎีวิวัฒนาการธรรมชาติข้ามสายพันธุ์

ลูเธอร์ เบอร์แบงก์ (Luther Burbank) ตอนที่ 2

ในปี ค.ศ. 1875 เขาขายกรรมสิทธิ์พันธุ์มันฝรั่งดังกล่าวให้แก่ เจ.เจ.เอส. เกรเกอรี แลกกับเงินกว่า 150 ดอลลาร์ และมอบเงินจำนวนนั้นให้มารดา ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนียและลงมือเพาะปลูกพืชต่าง ๆ ด้วยใจรักในอาชีพนี้
เบอร์แบงก์สร้างเรือนกระจกสำหรับปลูกพืชและทำสวนเพาะต้นไม้ขึ้นที่ตำบลซันตาโรซา เขาทดลองอยู่นานถึง 50 ปี โดยมุ่งทดลองผสมพันธุ์ไม้ดอกและไม้ผลเขาทดลองข้ามสายพันธุ์ (Crossing) และเลือกพันธุ์ดีที่สุดไว้ จนได้พันธุ์พืชใหม่ ๆ ที่มีคุณภาพดีกว่า 1,000 ชนิด
ในปี ค.ศ. 1893 เขาเดินทางไปยังเซบาสโตโพล ตั้งฟาร์มขนาดใหญ่ และได้ทดลองปรับปรุงพันธุ์พืชชนิดต่าง ๆ จากทั่วทุกภูมิภาคของทวีป มีทั้งการผสมเกสรและการตัดต่อกิ่ง ในบรรดาพันธุ์พืชที่เขาได้รับคำชมเชยมากที่สุดนั้น มีมันฝรั่งพันธุ์เบอร์แบงก์ กระบองเพชรชนิดไม่มีหนามสำหรับใช้เลี้ยงปศุสัตว์ในเขตทะเลทราย องุ่นพันธุ์ผสมชื่อ พลัมคอต (Plumcot) พันธุ์ผลไม้ชนิดอื่น ๆ และพันธุ์ไม้ดอกอีกมากมาย โดยเฉพาะพันธ์ไม้จำพวกอวุ่น เบอร์แบงก์ใช้เวลาทดลองพันธุ์ไม้จำพวกลูกพลัมและลูกพรุนอยู่ถึง 40 ปี และทดลองพันธุ์ไม้จำพวกเบอร์รี่อยู่ 35 ปี ก่อนจะผลิตพันธุ์ใหม่ได้อีกราว 10 สายพันธุ์ ผลไม้เหล่านี้สามารถจำหน่ายเป็นสินค้าได้ดีมาก ในส่วนของต้นกระบองเพชรชนิดไม่มีหนามนั้น เขาใช้เวลาผสมอยู่ถึง 16 ปีทีเดียว

ลูเธอร์ เบอร์แบงก์ (Luther Burbank) ตอนที่ 1




บุรุษผู้เนรมิตพันธุ์พืชกว่า 800 ชนิด
เจ้าของทฤษฎีวิวัฒนาการธรรมชาติข้ามสายพันธ์

ลูเธอร์ เบอร์แบงก์ เกิดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 1849 ที่เมืองแลงเคสเตอร์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา บิดามีเชื้อสายสกอต-อังกฤษ ส่วนมารดามีเชื้อสายฝรั่งเสศ-ดัตช์ เขาเป็นบุตรคนที่ 13 ในบรรดาพี่น้องทั้งสิ้น 15 คน
ชีวิตของเบอร์แบงก์คลุกคลีอยู่กับการเกษตรตั้งแต่วัยเด็ก เพราะนั่นคืออาชีพหลักของครอบครัว ก่อนที่เขาจะเข้าศีกษาต่อในมหาวิทยาลัยทางด้านการแพทย์ หลังบิดาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1868 เบอร์แบงก์ต้องลาออกมาเพื่อช่วยมารดาขยายพันธุ์ไม้ ระหว่างนั้นเขายังคงศึกษาหาความรู้จากตำราต่าง ๆ ไปด้วย โดยเฉพาะหนังสือของศาตราจารย์ดาร์วิน (Charles Robert Darwin) ที่เข้าต้องติดตามอ่านทุกเล่ม เพราะคิดอยู่เสมอว่าสักวันสิ่งที่เขาอ่านจะต้องเป็นประโยชน์ในอนาคต
เล่มที่เขาโปรดปรานมากที่สุดในบรรดาตำราทั้งหมดก็คือเรื่อง "สัตว์และพืชต่าง ๆ ในครอบครัว" ซึ่งหนังสือเล่มนี้มีส่วนทำให้เขามีความรู้เจนจัดในเวลาต่อมา
วันหนึ่งขณะทำงานกับมารดา เบอร์แบงก์ พบว่าเมล็ดมันฝรั่งกระจุกหนึ่งในสวนของมารดาดูผิดสังเกต เขาจึงนำไปทดลองเพาะชำแล้วบังเอิญมีต้นมันฝรั่งเกิดขึ้นมา 23 ชนิด มันฝรั่งชนิดหนึ่งในจำนวนนั้น ซึ่งภายหลังตั้งชื่อว่า พันธุ์เบอร์แบงก์ ได้กลายเป็นต้นตระกูลของมันฝรั่งสายพันธุ์ดี

วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน (Wilhelm Conrad Rontgen) ตอนที่ 5

ในปี ค.ศ. 1899 เรินต์เกนได้รับสถาปนาจากกษัตริย์แห่งแคว้นบาวาเรีย ให้ดำรงตำแหน่ง Royal Geheimart พร้อมทั้งแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์และผู้อำนวยการสถาบันวิทยาศาสตร์กายภาพแห่งมหาวิทยาลัยลุดวิกแมกซิมิเลียน (Ludwig Maximilian University) ประจำกรุงมิวนิก ซึ่งนับเป็นงานสุดท้ายของเรินต์เกน โดยทางมหาวิทยาลัยได้อำนวยความสะดวกทุกอย่างให้เขา กระทั่งจัดบ้านพักให้อยู่เหนือห้องปฏิบัติการของสถาบันด้วย
เรินต์เกนได้ขอเกษียณอายุจากมหาวิทยาลัยในปี ค.ศ. 1920 หลังจากภรรยาเบอร์ธา (Bertha) ถึงแก่กรรมเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านั้น ท้ายที่สุด ฯพณฯ ราชบัณฑิต ศาสตราจารย์ ดร.วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน ก็ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1923 รวมอายุได้ 78 ปี
วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน เป็นนักวิจัยผู้รอบรู้ในห้องปฏิบัติการ แต่วางตัวเป็นคนสามัญธรรมดาเสมอ ความสำเร็จของแต่ละงานสร้างความปลาบปลื้มและเป็นน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตของเขา ขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้ที่ยกย่องและให้เกียรตินักคิดคนอื่น ๆ ด้วย เรินต์เกนให้ความสนใจและติดตามพัฒนาการที่ต่อยอดจากการค้นพบของตนตลอดเวลา ซึ่งผลสัมฤทธิ์จากงานของเขาจะประทับอยู่ในความทรงจำของชาวโลกตลอดไป.

วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน (Wilhelm Conrad Rontgen)
นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลคนแรกของโลก
ผู้ค้นพบรังสีเอกซ์เรย์ ที่มีคุณูปการใหญ่หลวงแก่มนุษย์

วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน (Wilhelm Conrad Rontgen) ตอนที่ 4

วันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1896 เรินต์เกนได้รับพระราชโองการให้เข้าเฝ้าถวายคำอธิบายและสาธิตการเกิดรังสีเอกซ์ต่อจักรพรรดิวิลเฮล์ม ที่ 2 (Wilhelm II) ณ กรุงเบอร์ลิน ซึ่งพระองค์ทรงพอพระทัยมาก พร้อมทั้งพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงระดับอัศวินแก่เขาอีกด้วย
ต่อมาในวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 1896 เรินต์เกนได้แสดงปาฐกถาพร้อมกับสาธิตสิ่งที่ได้ค้นพบให้แก่นักวิทยาศาสตร์ผู้ทรงคุณวุฒิ ณ สถาบันวิทยาศาสตร์กายภาพ ทั้งยังได้เอกซเรย์มือของผู้เข้าฟังบรรยายให้ดูกันด้วย ในโอกาสนั้นมีผู้เสนอให้เรียกรังสีเอกซ์ว่า รังสีเรินต์เกน แต่เขาไม่ยอมรับ (อย่างไรก็ตาม ในภาษาเยอรมันปัจจุบันเรียกรังสีเอกซ์ว่า เรินต์เกนเรย์)
ตอกจากนี้ เขายังได้ศึกษาเกี่ยวกับรังสีเอกซ์ต่อไปอีก และตีพิมพ์บทความพิเศษในเอกสารวิชาการของราชบัณฑิตแห่งปรัสเซียเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1897 เนื่องในโอกาสที่เขาได้เป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสถาบันดังกล่าว ซึ่งบทความที่ 3 นำเสนอข้อสังเกตที่เรินต์เกนได้ศึกษาวิจัยเรื่องรังสีเอกซ์เพิ่มเติมอีก 10 ประการ หลังจากนั้นเรินต์เกนก็ไม่ได้วิจัยรังสีเอกซ์อีกต่อไป

วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน (Wilhelm Conrad Rontgen) ตอนที่ 3

ต่อมาในปี ค.ศ. 1888 เรินต์เกนรับเช็ยไปเป็นศาสตราจารย์และผู้อำนวยการให้กับสถาบันกายภาพ ณ มหาวิทยาลัยเวิรซ์บวร์ก ซึ่งเขาพอใจมากเนื่องจากอยู่ในแคว้นบาวาเรีย ที่มีภูมิประเทศสวยงาม และยังมีภูเขาใหญ่น้อยมากมายที่เขากับภรรยาชอบไปเดินเล่น ทั้ง ๆ ที่ในขณะนั้นมหาวิทยาลัยต่าง ๆ อาทิ มหาวิทยาลัยแห่งเมืองจีนา อูเทรคต์ เบอร์ลิน และฟรายบวร์ก ต่างพากันเชื้อเชิญให้เขาไปทำงานด้วยก็ตาม ณ มหาวิทยาลับเวิร์ซ์บวร์กนี่เอง ที่ศาสตราจารย์เรินต์เกนได้ทำงานวิจัยต่อเนื่องจากงานเดิมในเรื่องคุณสมบัติของของเหลวผลึกสาร และสารไดอิเล็คทริก
จนกระทั่งฤดูใบไม้ร่วงในปี ค.ศ. 1895 เรินต์เกนพยายามศึกษาคุณสมบัติของแสงในหลอดคาโทด (Cathode Tube) โดยใช้หลอดคาโทด ชนิดลีนาร์ดทิวบ์ (Lenard Tube) ซึ่งใช้อลูมิเนียมเป็นหน้าต่าง และฮิตทอร์ฟครูกส์ทิวบ์ (Hittorf Crookes Tube) ซึ่งหน้าต่างทำด้วยวัสดุหนา
ในวันที่ 8 พฤศจิกายน ขณะทำการทดลองกับหลอดคาโทดดังกล่าวในห้องมืดโดยเขานำเอาแผ่นกระดาษการ์ดดำปิดกั้นหลอดคาโทดไว้ เรินต์เกนสังเกตเห็นกระดาษการ์ดแผ่นหนึ่งที่เคลือบสารประกอบของสารเรืองแสงบาเรียมพลาติโนไซยาไนต์ (Barium Platinocyanide) ส่องแสงเรื่อเรืองออกมา จากประสบการณ์ของนักวิจัยทำให้เขาสนใจและตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นทันที จนได้ข้อสรุปว่า ขณะเปิดกระแสไฟให้หลอดคาโทดนั้น มีรังสีที่มองไม่เห็น (Black Light) เกิดขึ้นด้วย เขาได้ตั้งชื่อรังสีนั้นว่า รังสีที่ไม่รู้จัก หรือรังสีเอกซ์ (X = Unknown)
เรินต์เกนเขียนผลงานการวิจัยดังกล่าวเป็นบทความวิชาการ ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 1895 โดยอธิบายคุณสมบัติทั้ง 17 ประการ ของรังสีเอกซ์ที่เกิดขึ้นอย่างถี่ถ้วน รวมกับที่ค้นพบเพิ่มเติมอีกสี่ประการ ในวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 1896 เพียงไม่กี่วันหลังจากบทความนี้ถูกนำมาตีพิมพ์ ก็กลายเป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างกว้างขวาง

วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน (Wilhelm Conrad Rontgen) ตอนที่ 2

จากนั้นเรินต์เกนมีโอกาสเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยเปิดใหม่ชื่อ โปลีเทคนิค ที่เมืองซูริก ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ซึ่งรับนักศึกษาเข้าเรียนโดยวิธีสอบเอนทรานซ์ แต่เรินต์เกนเข้าเรียนโดยไม่ต้องสอบ เพราะมหาวิทยาลัยทราบว่า เขาได้คะแนนคณิตศาสตร์สูงสุดจากโรงเรียนเดิมมาแล้ว เรินต์เกนได้รับประกาศนีบัตร สาขาวิศวกรรมเครื่องกล (เทียบเท่าระดับปริญญาโท) ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1868 ขณะอายุ 23 ปี ทว่าตอนนั้นเขาเริ่มเบื่อหน่ายวิชาวิศวกรรมแล้ว
ต่อมาเรินต์เกนมีโอกาสฟังการบรรยายของศาสตราจารย์คลาวซิอุส (Clausius) ซึ่งได้รับการขนานนามว่า เป็นบิดาแห่งวิชาอุณหพลศาสตร์ (Thermodynamics) และเกิดความสนใจอย่างมากจึ่งได้ขอร่วมทำงานด้วย แต่ศาสตราจารย์คลาวซิอุสได้รับเชิญให้ไปสอน ณ มหาวิทยาลัยเวิรซ์บวร์กเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์เอากุสต์ คุนต์ (August Kundt) ผู้มาทำหน้าที่แทนคลาวซิอุส ได้ชักชวนเรินต์เกนมาทำงานด้วยกันในห้องปฏิบัติการของคุนต์เองในเวลาเพียง 11 เดือน เรินต์เกนก็เสนอผลงานศึกษาวิจัยเรื่องก๊าซ และได้รับปริญญาเอกจากผลงานวิจัยเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1869
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นด๊อกเตอร์แล้ว แต่เรินต์เกนก็ไม่สามารถรับการบรรจุลงตำแหน่งทางวิชาการใด ๆ ได้ เนื่องจากไม่มีประกาศนียบัตรสำเร็จการศึกษาขั้นต้นจากเมืองอูเทรคต์นั่นเอง อย่างไรก็ดี คุนด์ได้จัดให้เรินต์เกนทำหน้าที่ผู้ช่วยนักวิจัยในห้องปฏิบัติการของตนต่อไป

วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน (Wilhelm Conrad Rontgen) ตอนที่ 1




วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน
(Wilhelm Conrad Rontgen)

ผู้ค้นพบรังสีเอกซเรย์ (X-Ray)

รังสีเอกซ์นับว่ามีคุณประโยชน์มากมายในหลากหลายวงการ เช่น วงการแพทย์ ใช้ในการผ่าตัดรักษาโรค วงการอุตสาหกรรม วิศวกรรม สงคราม ฯลฯ บุคคลที่ค้นพบรังสีเอกซ์ คือ วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน นักวิทยาศาสตร์ ชาวเยอรมัน และจากผลงานการค้นพบนี้ ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลในสาขาฟิสิกส์เป็นคนแรกในปี ค.ศ. 1901 อีกด้วย
วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน เป็นชาวเยอรมัน เกิดเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1845 ที่เมืองเลนเนป ประเทศเยอรมนี เป็นบุตรคนเดียวของ เฟรดริช คอนราด เรินต์เกน พ่อค้าผู้มั่งคั่งกับ ชาร์ล๊อตเต คอนสแตนซ์ ฟราไวน์ สตรีจากตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองอาร์เปลดูร์น ประเทศเนเธอร์แลนด์ บิดาเขาเสียชีวิตขณะเขาอายุได้ 3 ขวบ
ครอบครัวเรินต์เกนย้ายจากเมืองเลนเนปไปตั้งรกรากถิ่นฐานที่เมืองอาร์เปลดูร์น ตั้งแต่เขาอายุได้ 3 ขวบ ดังนั้น เรินต์เกนจึงเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาที่นั่น ต่อมาได้เข้าศึกษาต่อ ณ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชนประจำเมืองอูเทรคต์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ เรินต์เกนศึกษาเล่าเรียนได้ดีมาโดยตลอด กระทั่งปีสุดท้ายก่อนสำเร็จการศึกษา เพื่อนร่วมรุ่นของเรินต์เกนไปเขียนภาพการ์ตูนล้อเลียนครูคนหนึ่งเข้า จนผู้บริหารวิทยาลัยพยายามคาดคั้นเอาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้จากเรินต์เกนซึ่งไม่ยอมบอกทั้ง ๆ ที่รู้ดี ดังนั้น วิทยาลัยจึงตัดสิทธิ์ไม่ให้เรินต์เกนเข้าสอบ ทำให้เขาไม่ได้รับประกาศนียบัตรใด ๆ จากวิทยาลับแห่งนี้ซึ่งเป็นปัญหาต่อการศึกษาและการประกอบอาชีพของเขามาก